วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

"หูดหงอนไก่" โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่น่ากลัวไม่แพ้โรคเพศอื่นๆ

"หูดหงอนไก่" โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่น่ากลัวไม่แพ้โรคเพศอื่นๆ

"หูดหงอนไก่" โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่น่ากลัวไม่แพ้โรคเพศอื่นๆ เกี่ยวกับ หูดหงอนไก่

S! Health

สนับสนุนเนื้อหา

หลายครั้งที่เรามักจะได้ยินเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ในแบบที่ไม่มีอะไรป้องกัน สำหรับผู้หญิง เมื่อมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น ก็มักจะมีปัญหาที่เราต้องตั้งรับอย่างไม่ทันได้เตรียมตัว อย่าง การตั้งครรภ์ก่อนวัยอันสมควร ถือว่าเป็นผลกระทบที่ค่อนข้างร้ายแรง แต่อย่างน้อยก็ยังมีทางออกให้เราได้ใช้ชีวิตต่อไปได้ ถึงแม้ว่าหนทางจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากหันมามองอีกฟากหนึ่ง เมื่อปัญหานั้นไม่ใช่การตั้งครรภ์ แต่เป็นการติดต่อโรคทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง ซึ่งบางโรค โอกาสที่จะหายขาดให้มองเห็นแทบเป็นศูนย์ โดยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่ โรคเอดส์ , เริม , หนองใน , ซิฟิลิส และอื่นๆ แต่วันนี้ Sanook! Health จะมาพูดอีกหนึ่งโรคที่แรงไม่แพ้กัน อย่าง หูดหงอนไก่ โอกาสที่จะเกิดขึ้นมีน้อย แต่ถ้าเป็นแล้วก็อันตรายไม่แพ้โรคอื่นๆ เช่นกัน

หูดหงอนไก่ เป็นหูดที่พบได้บ่อยบริเวณอวัยวะเพศ โดยเกิดจากเชื้อไวรัส ‘HPV’ (Human Papilloma Virus) จัดว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยมากที่สุด ส่วนใหญ่จะพบในช่วงวัยที่กำลังเจริญพันธุ์ คือ ช่วงอายุ 17 - 33 ปี ทั้งชายและหญิง แต่พบได้ในเพศหญิงเสียมากกว่า บางครั้ง หูดหงอนไก่ อาจเรียกในชื่ออื่นได้อีกว่า หงอนไก่ , หูดอวัยวะเพศ หรือหูดกามโรค ปัจจุบันมีการค้นพบสายพันธุ์ของไวรัส HPV ได้ประมาณ 100 สายพันธุ์ย่อย บางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดหูดที่บริเวณผิวหนัง บางสายพันธุ์ก็อาจทำให้เกิดหูดหงอนไก่ ส่วนบางสายพันธุ์ก็จะเข้าไปทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งในระบบสืบพันธุ์ อาทิ มะเร็งปากมดลูก อีกทั้งยังเสี่ยงที่จะทำให้เกิดมะเร็งทวารหนักได้อีกด้วย

ปริมาณ 90% ของผู้ที่เป็นหูดหงอนไก่นั้นพบว่าเกิดจากเชื้อไวรัส HPV 6 และ 11 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อย ความเสี่ยงที่เชื้อไวรัสนี้จะเข้าไปทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งค่อนข้างต่ำ เชื้อ HPV ในชนิดที่จะทำให้เกิดโรคมะเร็งในระบบสืบพันธุ์และทางเดินอุจจาระก็คือ HPV 16 และ 18


ในระยะเริ่มต้น เมื่อผิวหนังได้รับเชื้อ หรือติดเชื้อ HPV ผ่านทางรอยถลอกที่ผิวหนัง ก็จะมีระยะฟักตัวของเชื้อที่ยังไม่แสดงอาการว่าเป็นโรคใดโรคหนึ่งเป็นเวลาหลายเดือน หรืออาจจะหลายปี ซึ่งเมื่อผ่านระยะฟักตัวมาแล้ว เชื้อไวรัสก็จะมีการแบ่งตัวให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การสร้างเซลล์ในชั้นผิวหนังเกิดความผิดปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้วร่างกายจะสามารถกำจัดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้เอง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ หากว่าเผลอไปติดไวรัสที่เป็นสายพันธุ์รุนแรงเข้าก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งในตำแหน่งที่ติดเชื้อได้


แหล่งที่มาของเชื้อ HPV นั้นติดต่อได้จากการสัมผัสรอยของโรคโดยตรง คือ ทางการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อนี้ ซึ่งเมื้อมาดูที่ ‘หูดหงอนไก่’ ถึงแม้ว่าจะเป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันกับชนิดอื่นๆ ของหูดทั่วไป แต่การติดต่อหลักๆ ก็มาจากการมีเพศสัมพันธ์ ส่วนการใช้สิ่งของร่วมกัน อาทิ ฝาสุขภัณฑ์ นั้นไม่อาจทำให้เกิดการติดต่อโรคหูดหงอนไก่ได้



man-1iStock

ใครที่เสี่ยงจะเป็น "หูดหงอนไก่" ?

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย จะทำให้มีโอกาสติดเชื้อ HPV จากคู่นอนที่เป็นโรคนี้ได้
  • หูดหงอนไก่ นั้นจัดว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากพบในเด็ก ต้องมีการสืบหาเกี่ยวกับพฤติกรรมการถูกข่มขืนและกระทำชำเราในเด็กเพิ่มเติมด้วย
  • ผู้ที่มีพฤติกรรมข้องเกี่ยวกับการมีคู่นอนหลายคน หรือเริ่มมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นหูดหงอนไก่ได้

 

‘หูดหงอนไก่’ มีอาการอย่างไร ?

  • บริเวณที่จะเกิดหูดหงอนไก่จะมีอาการคัน หรืออาจไม่มีอาการใดๆ แสดงให้เห็นเลยก็ได้
  • โดยปกติแล้ว หูดหงอนไก่จะพบได้ตามบริเวณเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายที่สามารถสร้างเมือกที่เรียกว่า เนื้อเยื่อเมือก ได้ จึงพบหูดหงอนไก่ได้ตามบริเวณ อวัยวะเพศ , ท่อปัสสาวะ , ปากมดลูก , ทวารหนัก , ช่องปาก และในลำคอ อีกทั้งยังสามารถพบผู้ที่ป่วยเป็นหูดหงอนไก่ได้ในหลายๆ ตำแหน่งในผู้ป่วยรายเดียวกัน ยกตัวอย่าง หากพบว่าเป็นหูดหงอนไก่ที่บริเวณอวัยวะเพศของผู้ป่วย และมีประวัติว่าเคยมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักด้วย ก็อาจจะพบหูดหงอนไก่ที่บริเวณทวารหนักเพิ่มเติม
  • ลักษณะของ ‘หูดหงอนไก่’ จะมีได้หลายแบบ หลายรูปร่าง ซึ่งอาจจะมีลักษณะเป็นตุ่มเดียว หรือหลายตุ่ม  หรือมีขนาดใหญ่คล้ายกับดอกกะหล่ำ มีลักษณะเป็นหงอนไก่ มีสีชมพู หรือสีเนื้อที่มีลักษณะขรุขระ
  • อาการของผู้ที่เป็นหูดหงอนไก่โดยมากจะมีก้อนเนื้อที่ใหญ่ขึ้น หรือเพิ่มจำนวนมากขึ้นในสตรีที่ตั้งครรภ์ หรือในคนที่มีภูมิคุ้มกันโรคบกพร่อง
 

 

ผู้เป็น ‘หูดหงอนไก่’ ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่ ?

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม เมื่อพบรอยโรค หรือพบความผิดปกติที่สงสัยว่าอาจเป็นรอยของหูดหงอนไก่ ควรรีบเดินทางไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา หรือลดการแพร่กระจายโรคที่จะแพร่ไปยังบริเวณเนื้อเยื่อเมืกอื่นๆ ที่อาจไปติดต่อสู่ผู้อื่นได้

 

 man-3iStock

 

ผลข้างเคียงของผู้ที่เป็น ‘หูดหงอนไก่’

แน่นอนว่าผู้ที่เป็น หูดหงอนไก่ จะทำให้เกิดความไม่น่าดูแล้ว การติดเชื้อ HPV สายพันธุ์รุนแรง อย่าง 16 และ 18 ก็ยังเข้าไปเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคมะเร็งในระบบสืบพันธุ์และมะเร็งทวารหนัก ส่วนผลข้างเคียงกับตำแหน่งที่้เกิดหูดก็ได้แก่ อาการเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ , ในผู้หญิงก็อาจมีเลือดออกจากหูดหงอนไก่ภายในปากมดลูกได้ หรือมารดาที่ทำการคลอดบุตรขณะที่มีรอยโรคก็อาจทำให้ทารกติดเชื้อ HPV ได้

 

จะป้องกัน ‘หูดหงอนไก่’ ได้อย่างไร ?

ในปัจจุบัน ทางการแพทย์ยังไม่มียาที่รักษาและช่วยป้องกันหูดหงอนไก่ได้อย่าง 100% ซึ่งเป็นเพราะว่าโรคนี้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ จากผิวหนังสู่ผิวหนัง หากมีคู่นอนหลายคน โอกาสที่จะติดเชื้อก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น หากต้องมีเพศสัมพันธ์ แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกันอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่เป็นการป้องกันเชื้อไวรัส HPV ที่ก่อให้เกิดหูดหงอนไก่เท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้ด้วย

 

อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจเพื่อให้เกิดการเข้าใจผิด และนำไปปฏิบัติกันอย่างไม่ถูกต้อง การใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ห้องน้ำ , ฝารองนั่ง , สระว่ายน้ำ นั้นไม่ทำให้ติดโรคหูดหงอนไก่

 

เมื่อเป็น ‘หูดหงอนไก่’ ควรจะดูแลตัวเองอย่างไร ?

  • ติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อแพทย์นัดก็ควรมาตามนั้นไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
  • งดการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างที่ทำการรักษา หรือหากจำเป็นต้องมีจริงๆ ก็ควรป้องกันโดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ
  • ควรพาคู่นอนมาทำการตรวจและรักษาด้วยเสมอ เพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อซ้ำไปมา
  • หากมีการสัมผัสรอยโรค ก็ให้ล้างบริเวณที่สัมผัสและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ทุกครั้ง
  • รักษาความสะอาดด้วยการล้างมือโดยใช้เจลแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐานอย่างเคร่งครัด

 

ถ้าปฏิบัติตามข้อมูลที่ Sanook! Health นำมาฝากได้ทุกข้อ รับรองว่าความเสี่ยงที่จะเกิด "หูดหงอนไก่" ก็จะลดลงอย่างแน่นอน ที่สำคัญ ในขณะที่เรามีเพศสัมพันธ์ก็ควรป้องกันด้วยการใส่ถุงอนามัยทุกครั้ง ไม่ใช่เพียงที่จะป้องกันแค่โรคนี้ แต่ยังสามารถป้องกันโรคติดต่ออื่นๆ ทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย อย่างน้อยกันไว้ก็ยังแก้ปัญหาได้เบากว่าที่ต้องมาแก้หลังจากที่ทุกอย่างมันสายไปซะแล้ว

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sanook.com/health/7917/

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : มะเร็งปากมดลูก

ดวงสมพงษ์ของชาว ราศีเมษ กับ ราศีสิงห์ โดยอาจารย์ธนกร

ชาวราศีเมษ (ระหว่างวันที่ 22 มี.ค. ถึง 21 เม.ย.)

เป็นคนที่มีลักษณะนิสัยเป็นคนพูดตรงมาตรงไป ทำอะไรมักมีเป้าหมายเป็นคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว เป็นคนขยันชอบการปฏิบัติ เป็นคนที่มีความสร้างสรรค์ขยันอดทน รักความอิสระมั่นใจตนเองชอบความเด่นดัง อาชีพที่เหมาะกับชาวราศีเมษเป็นอาชีพที่ต้องอาศัยการปฎิบัติเพราะเป็นคนขยันเหมาะในอาชีพที่จะแตะเดินทางบ่อยๆเช่นมัคคุเทศก์ อาชีพเซลล์ นักถ่ายทำสารคดี นักบิน ทางด้านความรักมีความโรแมนติกชอบความเป็นส่วนตัวอยู่บ้างแต่ถ้าหากพบคู่ของเจ้าชะตาแล้ว ก็อยากให้เพื่อนญาติหรือสังคมได้รับรู้ว่าเจ้าชะตาได้พบคู่พบกับคนที่ถูกใจแล้ว

 

ชาวราศีสิงห์ (ระหว่างวันที่ 22 ก.ค. ถึง 21 ส.ค.)

ชาวราศีสิงห์เป็นคนที่อยู่เชื่อมั่นณตนเองสูงชอบสิ่งสวยงามโก้เก๋มีความทะเยอทะยานสูงชอบทำตัวให้คนเคารพนับถือ ชอบการได้เกียรติยศและชื่อเสียง ชอบความเป็นผู้นำของตนมีความคิดสร้างสรรค์มากมีจินตนาการที่ดี ทั้งเป็นคนที่มีบุคลิกที่มีความดูน่าเชื่อถือมีบารมีอำนาจเป็นคนเปิดเผยและชอบความเสรีเจ้าสำราญพอสมควร ชอบการเข้าสังคมชอบงานบันเทิงเริงรมย์ มักจะคบหากับบริวารหรือเพื่อนใหม่ๆเพื่อในการพบเจอลูกจากการเข้าสังคมบ่อยชอบใช้จ่ายเงินแห่งการทำธุรกิจ

 

ความเข้ากันของทั้งสองราศี 70 % ทั้งนี้เป็นอิทธิพลที่ส่งผลถึงกันระหว่างราศีแบบ ทั้งมวลกว้างๆ ยังทรงไว้ขึ้นกับบุคคลทั้งสองผู้มีชีวิตด้วย

 

การผูกดวงสมพงศ์ระหว่างชาวราศีเมษกับชาวราศีสิงห์

ความสมพงศ์ระหว่างคู่รักชาวราศีเมษกับชาวราศีสิงห์ความสมพงศ์ระหว่างราศีทั้งสองนี้ไปในเกณฑ์ที่ดีแต่ต้องปรับทัศนคติพร้อมกับการคบควานกันต้องปรับตัวเพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้มากขึ้น โดยลักษณะชาวราศีเมษจะเก่งในทางเป็นนักปฎิบัติและมีความสามารถในงานเจรจาจึงสามารถ ร่วมมือกันสร้างฐานะให้มีความมั่นคงได้อย่างไม่อยาก ส่งผลให้คนรักชาวราศีสิงห์มีความสบายไปด้วยและทรัพย์สินที่ช่วยกันหามาด้วยกันและควรจะนำไปซื้อบ้านเป็นแบบสไตล์วินเทจ จะทำให้เกิดข้อความมั่นคงและร่ำรวย สถานที่ท่องเที่ยวที่ควรพากันเดินทางไปท่องเที่ยวร่วมกันคือ การท่องเที่ยวการตั้งแคมป์ การผจญภัยการเดินป่า เที่ยวน้ำตก อัญมณีที่จะส่งผลในการช่วยเสริมโชคในเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ด้านความรักที่ดีระหว่างกันก็ลงความว่า ทับทิม

ตรวจสอบ ดวงสมพงษ์ http://horoscope.sanook.com/play/lovematching/

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ดูดวงสมพงษ์

คำชะโนด 2 หรือวัดป่าคลอง 11 ความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ต้องไปไกล !!

สำหรับหลาย ๆ คนคงรู้จักวัดป่าคชะโนดเป็นอย่างดี เพราะเป็นสถานที่ชื่อดังที่ขึ้นชื่อด้านความศักดิ์สิทธิ์และเชื่อกันว่าเป็นที่อยู่ของพญานาค ที่จังหวัดอุดรธานี

แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า มีวัดอีกแห่งหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับวัดป่าแต่อยู่ใกล้ ๆ กรุงเทพนี่เอง นั่นก็คือว่าป่าคลอง 11 จังหวัดปทุมธานี

19141818_148408609037842_2241
19183999_148408642371172_1156
19190933_148408979037805_1466

ที่นี่มีความคล้ายคลึงกับวัดป่าคำชะโนดมาก ทั้งในด้านภูมิศาสตร์ที่ตั้งเป็นเกาะกลางน้ำเหมือนกัน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด ที่มีความเชื่อด้านพญานาคเช่นกัน

19198300_148408759037827_5793

นั่นก็คือองค์ จ้าวปู่ศรีสุทโธ ย่านาคี ถนนทุกสายเต็มไปด้วยรถ ทางเดินทุกเส้นทาง เต็มไปด้วยประชาชนที่มาไหว้ และเต็มไปด้วยความศรัทธา ปู่ศรีสุทโธ ย่านาคี ในขณะนี้

19142031_148408695704500_1161
19198441_148408632371173_1100
19206379_148408645704505_1656

 

ต้องบอกเลยว่ากำลังเป็นสถานที่ ที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่องลือในหมู่ของผู้คนที่ไปสักการะอย่างมาก แถมยังเดินทางไปได้ง่ายไม่ไกลจากกรุงเทพจึงทำให้เป็นที่นิยมอย่างมากของผู้ที่ศรัทธา

และนอกจากนี้ภายในบริเวณวัดยังมีการสร้างรูปปั้นพญานาคไว้อย่างน่าเกรงขาม ดูลึกลับและน่าค้นหา เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สวยงามน่าไปเก็บภาพอย่างมาก

หากมีโอกาศในวันหยุดลองเดินทางไปสักการะดูสักครั้ง เพื่อเ

นสิริมงคลในชีวิตและการทำงานต่อไป

19184057_148408615704508_8216
19184183_148408485704521_1146
19198315_148408489037854_2144

 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://travel.sanook.com/1404541/

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล

สัมผัสแรกของ Nokia 8 มือถืออีกรุ่นที่สามารถทำให้เงินในกระเป๋าสั่นไปหมด

ก่อนหน้านี้คงทราบกันดีกว่า  มือถือเรือธงที่มีการนำผู้ช่วยเหลือเก่าและเทคโนโลยี เน้นย้ำการถ่ายภาพที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้เปิดตัวบนโลกตอนวันที่ 16 เดือนสิงหาคม แต่ตอนวันที่ 28 ส.ค. โนเกียก็เปิดตัว Nokia 8 อย่างเป็นทางการ แล้วมันจะดีเลิศขนาดไหน วันนี้ก็เลยจะมาพรีวิวกันใหม่ๆที่ตรงนี้มุมที่คุณอยากรู้ก่อนพบกับรีวิวเต็มเร็วๆนี้

และแน่นอนว่าทางทีมงาน Sanook! Hitech ก็ไม่พลาดที่จะเกาะติดกับทีมงาน HMD เพื่อการนำเครื่องมาพรีวิวให้เพื่อนๆ อ่านกันครับ มาดูกันครับว่าเบื้องต้น Nokia 8 จะมีอะไรดีบ้าง

ข้อมูลทางเทคนิคของ Nokia 8

  • ข้อมูลเครือข่าย (Network)
  • GSM850/900/1800/1900
  • WCDMA1, 2, 5, 8
  • TDS-CDMA34, 39
  • LTE1, 2, 3, 4, 5, 7, 8, 20, 28, 38, 39, 40, 41
  • ความเร็วเครือข่าย
  • LTE Cat 9, 3CA, 450Mbps DL 50Mbps UL
  • รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิม
  • ระบบปฏิบัติการ
  • Android Nougat 7.1.1
  • หน่วยประมวลผลและชิปเซ็ต: Qualcomm® Snapdragon ™ 835
  • MSM8998 (2.45GHz Qualcmm® Kryo ™  1.8GHz Kryo)
  • RAM 4GB LPPDDR4X
  • หน่วยความจำภายใน 64 GB พร้อมช่องเสียบการ์ด MicroSD (รองรับสูงสุด 256 GB)
  • ฟอร์มแฟคเตอร์ สแต็คพอยต์ IP54 touch monoblock พร้อมปุ่มระบบสัมผัส capacitive
  • จอแสดงผล: 5."IPS LCD QHD 2560 x 1440, ความสว่างหน้าจอ 700nts, Corning®Gorilla® Glass 5, 2.5D Glass
  • เลนส์กล้องจาก ZEISS
  • กล้องหลัก: 13 ล้านพิเซล ขนาดรูรับแสง f 2.0แฟลชคู่
  • กล้องด้านหน้า: 13 ล้านพิเซล ขนาดรูรับแสง f 2.0, พร้อมแฟลช
  • ระบบเชื่อมต่อ
  • ระบบเซ็นเซอร์: ประเภท C, USB3.1 Gen 1 (5Gbps)
  • ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.
  • เซ็นเซอร์วัดแสงรอบข้าง
  • เครื่องวัดความใกล้เคียงเครื่องวัดความเร็วในการวัดเข็มทิศ E, เข็มหมุนFingerprint Sensor
  • แบตเตอรี่
  • ประกอบด้วยแบตเตอรี่ 3090 mAh พร้อมQualcomm® Quick Charge ™ 3.(18 วัตต์, 5V 2.5A, 9V 2A, 12V 1.5A)
  • ฟังก์ชั่นมัลติมีเดีย
  • รองรับไฟล์เสียงแบบ MP3, M4A, AAC, OGG, WAV, AMR, AWB (AMR-WB), FLAC, MIDI (MID, MIDI, XMF, MXMF, IMY, RTTTL, RTX, OTA)
  • รองรับไฟล์วิดีโอแบบ MP4, 3GP, 3G2, AVI, MKV, WEBM
  • ขนาด:
  • 151.5 x 73.7 x 7.9 มม. (camera bump ขนาด 0.4 มม.)
  • น้ำหนักเบา เพียง160 กรัม

รูปร่างของ Nokia 8

 

เป็นมือถือที่มองด้านหน้าแล้ว มีความคล้ายกับ Nokia 5 และ Nokia 6 ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้ เพียงแต่ขนาดหน้าจอของมัน แทรกกลางระหว่าง 2 รุ่นคือ 5.3 นิ้ว ความละเอียด Quad HD (2560x1440) โดยเหตุผลที่เลือกใช้หน้าจอขนาดนี้เพราะ เขาบอกว่าคนใช้งานจะจับถนัดและกดทุกอย่างได้ลงตัวที่สุด เมื่อลองใช้งานแล้วพบว่า มีความจริงอยู่ 85% เลยทีเดียว

ส่วนบนมีกล้องหน้าขนาด 13 ล้านพิกเซล พร้อมกับเลนส์จาก Zeiss ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของ Nokia

ด้านล่างมีปุ่ม Back, Home พร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือ และมีปุ่ม Recent Apps สามารถสลับ Apps ที่เปิดก่อนหน้าได้เช่นกัน แต่ว่า หน้าจอเล็กไปทำให้เมื่อต้องกดกด Multi Tasking อาจจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่

ด้านข้าง (รวมถึงด้านหลัง) เลือกใช้วัสดุอะลูมิเนียมเกรด 7,000 ที่เรียกได้ว่าหนาแน่นและออกแบบดี เทคโนโลยีการพ่นสีนั้นมีการชุบเคลือบสานทั้งแบบผิวด้าน และมันวาว ให้เลือก ฝั่งซ้ายมีช่องซิม ฝั่งขวามีปุ่มกดม ปุ่มปรับระดับเสียง

ด้านบนมีช่องเสียบหูฟัง ด้านล่างมีช่องเสียบ USB-C พร้อมกับลำโพง และมีไมโครโฟนให้

ด้านหลัง ออกแบบได้เหมือนกับ Nokia 5 ไม่มีผิด แต่ผิวสัมผัสแตกต่างชัดเจน พร้อมกับมีกล้องหลังคู่ เลนส์ Zeiss พร้อมกับ LED Flash และมี Laser Focus ให้เลือกด้วยเช่นกัน ภาพรวมเป็นเครื่องที่น้ำหนักเบา จับต้องได้ง่ายและมีความสวยงามและแข็งแรงในตัว

 

ประสิทธิภาพของ Nokia 8

 

เบื้องต้นทีจากที่ได้กดทดสอบประสิทธิภาพของ Nokia 8 ที่ใช้ CPU Qualcomm Snapdrahgon 835, RAM 4GB ความจำในตัว 64GB ทำได้ออกมาที่ 177,295 คะแนน ถือว่าทำได้ดีเกาะกลุ่มบน เพียงแต่น่าเสียดายถ้าได้รุ่น RAM 6GB ก็คงจะดีกว่านี้

ส่วนเรื่องของความลื่นไหลในการใช้งาน ถือว่าทำได้ดี เพราะเป็น Pure Android ที่ไม่ได้มีการปรับแต่งแต่อย่างใด น่าเสียดายที่เปิดตัวเร็วกว่า Android Oreo ออกมาเท่านั้นเอง แต่ความร้อนถึงแม่เขาจะบอกว่ามีเทคโนโลยีระบาความร้อนจาก Heat Pipe แล้ว แต่ดูเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเท่าไหร่

ลูกเล่นเด่น ๆ ที่ได้ลอง

เนื่องจากได้ลองกันประมาณ 30 นาทีเท่านั้น ทำให้สามารถเล่นฟีเจอร์ส่วนใหญ่จะเป็นที่กล้องที่สามารถกดเล่นได้ดังนี้

  • Dual Sight Mode เป็นโหมดที่สามารถปรับให้กล้องหน้าและหลังให้สามารถทำงานร่วมกันได้ และสามารถถ่ายวีดีโอ หรือจะ Live หรือจะถ่ายภาพนิ่งก็ได้เช่นกัน แต่ว่า ระยะต้องเหมาะสมและจัดองค์ประกอบให้ดี ถึงจะออกมาสวย และดู ๆ ไปแล้วก็เหมาะกับการสัมภาษณ์คนลงข่าวได้ไม่น้อย
  • กล้องหลังของ Nokia 8 มีความสามารถเยอะ ทั้งสามารถปรับเรื่องความสดของสี, หรือขาวดำ หรือให้กล้องสีทำงานอย่างเดียว พร้อมกับมีระบบป้องกันภาพสั่นไหว เรียกได้ว่าลงตัว
  • กล้องหน้าคมชัดมากเพราะมีขนาด 13 ล้านพิกเซล และมี Beauty Mode ปรับได้ 20 ระดับ ถือว่ามากพอสมควร
  • Nokia OZO เป็นระบบอัดเสียงคุณภาพสูงเพราะสามารถใช้ไมโครโฟนทั้งหมด 3 ตัวอัดเสียงได้ และมีการปรับให้เสียงเข้ามาจากด้านใดด้านหนึ่งก็ได้เช่นกัน

  • UI ของกล้อง หลายคนเข้าใจว่า เป็นของ Nokia PureView แต่ข่าวร้ายคือ HMD เผยว่า PureView ยังเป็นของ Microsoft อยู่ ทำให้ UI ใหม่ ครบเครื่อง แต่ยังใช้งานยากและดูงง ๆ อยู่ ต้องอาศัยความเข้าใจเล็กน้อย
  • ลูกเล่น Pure Android มันเป็นจุดเด่นที่ทำให้เครื่องลื่นไหลดี

(ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Nokia 8)

จากที่ได้ลองสั้น ๆ ถือว่าเป็นความลงตัวทั้งดีไซน์ของเครื่องที่สวยเบาและแข็งแรง ที่ได้การยืนยันจากทีมโนเกียเอง และความสามารถของมันที่มองแล้ว เหมาะกับคนที่อยากเป็น Content Creator หรือ ผู้สร้างเนื้องหาบนโลกออนไลน์จากฟีเจอร์ กล้องถ่ายภาพพร้อมกัน 2 ตัว ซึ่งตรงกับที่ได้สรุป 4 ข้อโดดเด่นของ Nokia 8 ไปก่อนหน้านี้

ส่วนราคานั้นถือว่าออกมาดีมาก อยู่ที่ 19,500 บาท เท่านั้นเองเรียกได้ว่าอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ในเวลานี้อย่างมากเลยล่ะ

สุดท้ายนี่เป็นแค่ลองสั้น ๆ เพียง 30 นาที แต่ถ้ามาอยู่ร่วมกันนาน ๆ กว่านี้จะเป็นอย่างไร ติดตามในตอนต่อไปกับรีวิวที่ Sanook! Hitech เร็ว ๆ นี้

รวมเรื่องราว nokia 8 ที่นี่ คลิ๊ก!!!

สนับสนุนเนื้อหา http://hitech.sanook.com/1432889/

HMD เผยเป็นนัย Nokia รุ่นถัดไปจะมีหน้าจอ ใหญ่กว่า Nokia 8

HMD เผยเป็นนัย Nokia รุ่นถัดไปจะมีหน้าจอ ใหญ่กว่า Nokia 8

HMD เผยเป็นนัย Nokia รุ่นถัดไปจะมีหน้าจอ ใหญ่กว่า Nokia 8

แบไต๋

สนับสนุนเนื้อหา

HMD Global เพิ่งจะเปิดตัว Nokia 8 ไป ปัจจุบันมีรายงานจากเว็บไซต์ 4pda.ru ของรัสเซียบอกว่า สมาร์ทโฟน Nokia รุ่นต่อไปจะมีขนาดจอใหญ่มากยิ่งกว่า Nokia 8 เสียอีก

รายงานจาก 4pda.ru ระบุว่า Neil Broadlev ผู้จัดการฝ่าย Global Marketing กล่าวว่า “ทางบริษัทไม่ต้องการแข่งกับ Samsung หรือ Apple แต่จะเน้นไปที่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้แทน”

 

ที่มาของข่าวได้กล่าวว่าสมาร์ทโฟน Nokia รุ่นใหม่ (Nokia 9) จะมีหน้าหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความอยากผู้ใช้ทั้งหมดทั้งปวง อาจมีขนาด 5.5 – 5.7 นิ้ว พร้อมทั้งแรม 6 GB – 8 GB, ความจุ 128 GB, มาตรฐานการกันน้ำ IP68 และก็อาจมีเซ็นเซอร์สแกนม่านตาด้วย

คาดว่า Nokia แบบใหม่ (Nokia 9) จะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2017 นี้

รวมเรื่องราว nokia 8 ที่นี่ คลิ๊ก!!!

สนับสนุนเนื้อหา http://hitech.sanook.com/1432261/

Before & After สวยไม่เกิน 100 บาท! เคล็ดลับหน้าขาวใสมาก สูตรหน้าใส

Before & After สวยไม่เกิน 100 บาท! เคล็ดลับหน้าขาวใสมาก สูตรหน้าใส

Before & After สวยไม่เกิน 100 บาท! เคล็ดลับหน้าขาวใสมาก สูตรหน้าใส

เคล็ดลับหน้าขาวใสไร้รอยสิว จากผู้หญิงหน้าสิว มีรอยดำ เธอได้ลองพอกหน้าด้วยสูตรนี้ เธอคนนี้ใช้นามแฝงว่า คุณ หญิงเชื่อในพระเจ้า สมาชิกจาก http://pantip.com/ สูตรหน้าใสที่เห็นผลจริงภายใน 2 เดือนของใช้เธอจะมีส่วนผสมอะไรมั่ง ตามมาดูกันได้เลยค่ะ

สวัสดีค่ะ เราอยากเเชร์ความสวยผ่านพันทิปคะ เรามีเคล็ดลับที่ไม่ลับดีดีมาให้ทุกคนอ่านค่ะ

อยากให้อ่านข้อความก่อนนะคะ แถวนิดหน่อยเเต่สาระเยอะค่ะ

เรามีชีวิตคนผิวคล้ำมากค่ะ เราชอบทำอะไรดำเนินเรื่อยกับหน้าตัวเอง เอาอะไรมาพอกหน้า จนเต็มไปหมด คือเราอยากให้หน้าขาวค่ะ นั่นมันคือความฝันข้าวของผู้หญิงที่อยากหน้าขาวเนียน

ไอ้จุดพีคมันตรงที่ มันเป๊ะมากค่ะ ผมพอกหน้าสูตรนี้มา เกือบ 2 เดือนละค่ะ ออกจากที่หน้าสิวจนถึงเพื่อนล้อก็หายไป พอละค่ะไม่เกริ่นสุดๆ มาดูรูปเราตอนมีสิว และหลังจากที่กูคิดสูตรนี้ขึ้นลงมา

นี่ค่ะ รูปตอนเป็นสิว เป็นริ้วรอยมาก ไปที่ใดนี่อายค่ะ ในรูปอาจไม่เห็นสิวมาก แต่ความจริงมันมากตึดตื๋อค่ะ เยอะมาก

 

เคล็ดลับหน้าขาวใส

 

และนี่หลังจากใช้ไป

มิได้เเต่งหน้า เเละกล้องฟรุ้งฟริ้งอะไรทั้งนั้น เราเปิดเเฟลต รอยอะไรจะเห็นชัดหงำเพราะทั้งเป็นกล้องธรรมดา อิอิ ภูมิใจค่ะไปไหนไม่ต้องอายอีกแด่ไป

เริ่มสูตรเลยดีกว่าค่ะ

* สิ่งที่ต้องเตรียม*

1. เกลือขัดผิว ค่ะ ตามรูป ราคา 39 บาท
2. น้ำผึ้งเเท้ ค่ะ (ของเราใช้ของสวนจิตรดา)
3. ไข่ 1 ฟอง แค่นี้ค่ะ

สูตรหน้าใส

เดี๋ยวก่อน มาอ่านประโยชน์แต่ละตัวก่อนค่ะ

เกลือขัดผิว - ตัวนี้มีชีวิตสูตรน้ำนมบริสุทธิ์คะ ขจัดสิ่งสกปรก มันเทศจี้ดหน้าเเสบหน้าแผลเหรอสิวที่ใบหน้า จะแห้งลงค่ะ อีกอย่างทำให้ผิวนุ่มมาก
น้ำผึ้ง - ทุกคนดำรงอยู่รู้ดี ไม่ว่า ครีม สบู่ขัดผิวต่างๆ แง่มุมมากจักมีส่วนผสมน้ำผึ้ง เพราะทำให้ผิวดีค่ะ มีวิตามินเอ บี2 บี3 บี5 บี6 วิตามินซี และธาตุอีกเยอะจ๋า ทำให้ผิวนุ่มนวล ผิวดี อิ่มน้ำจากไปเลยก็ว่าได้ค่ะ
ไข่ขาว - ไข่ขาวตรงนั้นลดความมันของใช้ใบหน้าค่ะ หน้าตึง รักษาพร้อมทั้งสร้างเซลล์ผิวใหม่จ๋า

พอจะรู้เเล้วใช่มั้ยคะว่าทำไมต้องนำมาผสมกัน 55555

เริ่มทำกันเลยค่ะ

1. ไข่ขาวเศษหนึ่งส่วนสองนึงจากที่มีอยู่สิ่งของไข่ค่ะ อ่าวอย่างงสิคะ ตกว่าว่า ไข่ขาวครึ่งหนึ่งนึงค่ะ 555

2. น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาพอค่ะ

3. เกลือขัดผิว 3 ช้อนเมี่ยงค่ะ จบก็คนให้เข้ายับยั้งค่ะ

หยุดก่อน..!!

แน่นอนอยู่แล้วไปการจะให้เข้ากันมันยาก เพราะเกลือ เข้าถึงตัวกันเป็นก้อน ฉะนั้นเราต้องต้มน้ำให้เดือด แล้วนำถ้วยไปวางแล้วคนให้เข้ากันค่ะ เพราะความร้อนจะทำให้เกลือเเยกออกจากกัน ขอโทษค่ะ ลืมถ่ายทิวทัศน์มาก ตกว่าคนให้เข้ากันพอเป็นน้ำเหลวพอค่ะ เพราะเดี๋ยวไข่ขาวสุกพอดี ได้แบบตรงนี้ค่ะ


ตอนนี้กระทู้ก็ทั้งเป็นที่สนใจนะคะเลยอยากเเก้ไขว่า มีอยู่คนถามเยอะเลยเรื่องทำไมจงต้ม คือพริกไทยหรือแป้งเจอน้ำเย็นก็จะติดกันเป็นก้อนๆ เหมือนเกลือค่ะ ยิ่งเป็นไข่ด้วย หนูเลยคิดว่า เอาไปละลายจะทำให้เกลือไม่ติดกันค่ะ ทว่าพี่ๆ บางคนไม่อยากเสียเวลามาก ก็คนๆ ให้เข้ากันก็เมื่อค่ะ


จากนั้นก็นำมาทาให้ทั่วหน้าค่ะ

 

หน้าจะเป็น เกล็ดน้ำเล็กๆ เกาะคงอยู่ได้

* สำหรับคนมีสิว มีเเผล จะเเสบหน่อยค่ะ เเต่ทนเพราะเลี่ยนจะทำให้เเห้งค่ะ *



ทิ้งไว้ 10 นาที ค่ะ หลังจากนั้นล้างออก หน้าจะอิ่มมาก หน้าสดชื่น นุ่มมาก ขาวขึ้นเพื่อค่ะ ขอให้เเค่ทำบ่อยๆ นะคะ


ขอบคุณค่ะ ที่อ่านจนจบ ดิฉันไม่ได้หลอกลวงหรืออย่างไร ดิฉันสำนึกว่าดีค่ะเเละอยากให้สาวๆ ทุกคนได้รับลองดูค่ะ

 อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://women.sanook.com/36049/

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เคล็ดลับความงาม

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ขมิ้นชัน สมุนไพรไทยไซส์เล็กๆ ที่ให้ประโยชน์ไม่เล็กตาม

ขมิ้นชัน สมุนไพรไทยไซส์เล็กๆ ที่ให้ประโยชน์ไม่เล็กตาม

ขมิ้นชัน สมุนไพรไทยไซส์เล็กๆ ที่ให้ประโยชน์ไม่เล็กตาม เกี่ยวกับ ขมิ้นชัน

S! Health

สนับสนุนเนื้อหา

เรื่องสุขภาพใครว่าไม่สำคัญ นอกจากที่การออกกำลังกายนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายของเราแข็งแรง ดูสุขภาพดีแล้ว เรื่องของอาหารการกินก็สำคัญ ไม่ใช่เพียงเนื้อสัตว์ เนื้อปลา หรือผัก แต่สมุนไพรไทยหลายๆ ชนิดก็สามารถนำมาปรุงอาหารให้รสชาติเหมือนผัก แต่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย อย่าง ขมิ้นชัน ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรไทยที่นิยมเอามาประกอบอาหาร โดยเฉพาะในอาหารใต้ ด้วยสีสันที่เป็นสีเหลืองสดสะดุดตา จึงทำให้อาหารดูมีความน่าทาน แต่ยังคงประโยชน์ไว้ได้อย่างครบถ้วน วันนี้ Sanook! Health จะพาไปทำความรู้จักกับเจ้าขมิ้นชันให้มากขึ้น

 

ขมิ้นชัน จัดอยู่ในประเภทเดียวกับ ขิง

ขมิ้น หรือ ขมิ้นชัน นั้นจัดว่าเป็นพืชล้มลุกที่อยู่ในตระกูลเดียวกับ ขิง มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในของเหง้าจะมีสีเหลืองเข้ม ไปจนถึงสีแสดจัด มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ถิ่นกำเนิดจะอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชื่อเรียกในแบบอื่นๆ อีกมาก อาทิ ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอก ขมิ้นหัว ขี้มิ้น หมิ้น เป็นต้น ทั้งนี้ การเรียกก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละภาค แต่ละจังหวัด ส่วนใหญ่ขมิ้นชันจะนิยมนำไปใช้ในการประกอบอาหารเพื่อแต่งสี แต่งกลิ่นอาหารให้มีความน่าทาน อาทิ แกงไตปลา แกงกะหรี่ เป็นต้น

 ginger-tumericiStock

ภายในสีเหลืองเข้มของ ขมิ้นชัน นั้นเต็มไปด้วยประโยชน์

ขมิ้นชัน นั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอยู่หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ , วิตามินบี 1 , วิตามินบี 2 , วิตามินบี 3 , วิตามินซี , วิตามินอี , ธาตุแคลเซียม , ธาตุฟอสฟอรัส , ธาตุเหล็ก , เกลือแร่ต่างๆ รวมไปถึงเส้นใย , คาร์โบไฮเดรต  และโปรตีน ในขณะเดียวกัน ขมิ้นชัน ก็มีสรรพคุณทางยาที่ช่วยรักษาอาการและบรรเทาโรคต่างๆ ได้หลากหลายชนิดจากการที่ได้ค้นพบประวัติในการนำมาใช้รักษามากกว่า 5,000 ปี

 

บริโภค ขมิ้นชัน นั้นไม่ยาก

สำหรับการเก็บเกี่ยวขมิ้นชันเพื่อนำมาบริโภคนั้นไม่ควรเก็บในระยะที่ขมิ้นเริ่มแตกหน่อ เนื่องจากจะทำให้สารที่ประโยชน์ อย่าง เคอร์คูมิน ที่อยู่ในขมิ้นมีน้อย ส่วนเหง้าขมิ้นชันที่เกี่ยวมาต้องมีอายุอย่างน้อย 9 - 12 เดือน และเมื่อเก็บมาแล้วต้องไม่เก็บไว้นานเกินไป อีกทั้งต้องเก็บไม่ให้ถูกแสงแดด เพราะน้ำมันหอมระเหยในขมิ้นจะหมดไปเสียก่อน

เมื่อเก็บได้เหง้าขมิ้นชันมาแล้ว หากต้องการนำไปรับประทานเพื่อใช้ในการรักษาโรค หรืออาการต่างๆ ควรล้างให้สะอาดและไม่ต้องปอกเปลือก จากนั้นให้หั่นเป็นแว่นบางๆ แล้วนำไปตากแดดประมาณ 2 วัน จึงนำกลับมาบดให้ละเอียด นำไปผสมกับน้ำผึ้งแล้วปั้นเป็นเม็ดเล็กๆ เท่ากับปลายนิ้วก้อย จากนั้นจึงนำมารับประทานวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2 - 3 เม็ด ช่วงหลังอาหารและก่อนนอน

อีกวิธีหนึ่ง คือ การนำเหง้าขมิ้นชันแก่มาขูดเอาเปลือกออก แล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด นำมาบดให้ละเอียด เติมน้ำแล้วคั้นเอาแต่น้ำขมิ้นมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง แต่หากจะนำขมิ้นชันมาใช้เป็นยาทาภายนอกเพื่อรักษาอาการแพ้ ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย ให้นำเอาเหง้าขมิ้นชันมาฝนผสมกับน้ำต้มสุก แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นวันละ 3 ครั้ง หรือจะนำเอาผงขมิ้นชันมาโรยก็ใช้ได้เช่นกัน

 tumeric-2iStock

 

บริโภค ‘ขมิ้นชัน’ อย่างไรให้ได้ผลมากที่สุด

จากการศึกษาข้อมูลบางอย่างของ ‘ขมิ้นขัน’ พบว่า หากเรารับประทานขมิ้นชันไปตามเวลาที่อวัยวะต่างๆ ในร่างกายเปิด หรือเริ่มทำงาน ก็จะทำให้ได้ประสิทธิภาพในการบำรุงรักษาเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้น เราจึงได้นำข้อมูลส่วนนี้มาบอกเพิ่ม จะได้ลองนำเอาไปใช้กัน

  • 03.00 - 05.00 น. : ช่วงเวลานี้เป็นเวลาของ ‘ปอด’ การรับประทานขมิ้นชันในช่วงนี้จะเข้าไปช่วยบำรุงปอด ป้องกันการเกิดมะเร็งปอด ซ่อมเสริมทำให้ปอดแข็งแรง อีกทั้งยังช่วยที่เกี่ยวกับภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก รวมถึงช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนังอีกด้วย
  • 05.00 - 07.00 น. : ช่วงเวลานี้เป็นเวลาของ ‘ลำไส้ใหญ่’ การรับประทานขมิ้นชันในช่วงนี้จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาที่เกิดกับลำไส้ใหญ่ ซึ่งหากใครเคยรับประทานยาถ่ายมาเป็นเวลานานแนะนำว่าให้ทานขมิ้นชันในช่วงนี้ เพราะตัวขมิ้นชันจะเข้าไปฟื้นฟูปลายประสาทของลำไส้ใหญ่ แต่เน้นว่าต้องรับประทานเป็นประจำจึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวช่วยในการขับถ่ายได้อย่างเป็นปกติ
  • 07.00 - 09.00 น. : ช่วงเวลานี้เป็นเวลาของ ‘กระเพาะอาหาร’ การรับประทานขมิ้นชันในช่วงนี้จะช่วยแก้ปัญหาโรคกระเพาะที่เกิดจากการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา รวมถึงยังช่วยลดอาการท้องอืด จุกแน่น ปวดหัวเข่า ขาตึง อีกทั้งยังช่วยบำรุงสมองและป้องกันอาการความจำเสื่อมอีกด้วย
  • 09.00 - 11.00 น. : ช่วงเวลานี้เป็นเวลาของ ‘ม้าม’ การรับประทานขมิ้นชันในช่วงนี้จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาน้ำเหลืองเสีย การมีแผลที่ปาก อ้วนเกินไป หรือผอมเกินไปซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของม้าม นอกจากนี้ก็ยังเข้าไปช่วยลดอาการของโรคเกาต์ ลดอาการของเบาวานได้
  • 11.00 - 13.00 น. : ช่วงเวลานี้เป็นเวลาของ ‘หัวใจ’ การรับประทานขมิ้นชันในช่วงนี้จะเข้าไปช่วยผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ ขมิ้นชันจะเข้าไปช่วยบำรุงให้หัวใจแข็งแรง หากรับประทานเกินเวลา 11.00 น. ไปแล้ว ขมิ้นชั้นก็จะไปออกฤทธิ์ทำงานที่ตับและส่งมาที่ปอดแทน จากนั้นปอดก็จะส่งไปที่ผิวหนัง แต่โดยมากหากขมิ้นชันที่บริโภคมีปริมาณน้อยเกินไป ระหว่างทางที่ส่งอวัยวะต่างๆ ก็จะดึงไปใช้ทำให้ไปไม่ถึงผิวหนัง จึงต้องมีการทาขมิ้นชันเพิ่มบนผิวหนังอีกทีหนึ่ง
  • 15.00 - 17.00 น. : ช่วงเวลานี้เป็นเวลาของ ‘กระเพาะปัสสาวะ’ การรับประทานขมิ้นชันในเวลานี้จะเข้าไปช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหาตกขาวในสตรีได้ อีกทั้งแนะนำว่าให้ดื่มน้ำกระชายในเวลานี้ด้วย เพราะจะช่วยทำให้หูรูดกระเพาะปัสสาวะของเราแข็งแรงมากยิ่งขึ้น หากเป็นไปได้ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออก เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในช่วงเวลานี้

 

เพิ่มเติม หากเรารับประทานขมิ้นชันเลยจากช่วงเวลาที่บอกไปจนถึงเวลานอน ก็จะช่วยทำให้ความจำดีขึ้น และเมื่อตื่นนอนในตอนเช้าก็จะทำให้ไม่อ่อนเพลยได้ง่าย รวมถึงช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น

ขมิ้นชัน ถึงเป็นสมุนไพร แต่ก็มีผลข้างเคียง

การที่นำเอาขมิ้นชันมาบริโภคเพื่อรักษาอาการ หรือโรคใดก็ตาม หากรับประทานไปเรื่อยๆ จนหายแล้วก็ควรหยุดทาน ถึงแม้ว่าขมิ้นชันนั้นจะมีประโยชน์มาก แต่หากร่างกายได้รับมากจนเกินความต้องการก็อาจกลายเป็นโทษ ทำให้เกิดการแพ้ได้ เช่น ปวดหัว , ท้องเสีย , คลื่นไส้ , นอนไม่หลับ ฉะนั้น หากรับประทานเข้าไปแล้วมีอาการดังกล่าวแนะนำว่าควรหยุดรับประทานและหายาชนิดอื่นมารับประทานแทน อีกทั้ง ในแถบภาคใต้ยังมีความเชื่อในเรื่องโทษและขมิ้นชันของขมิ้นชันกันว่า การรับประทานขมิ้นชันที่มากและถี่เกินไป แทนที่จะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ก็อาจจะกลายเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเสียเอง

 

อย่างไรก็ตาม อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการรับประทานขมิ้นชันนั้นแทบไม่ได้มีความแตกต่างจากการข้างเคียงทั่วไป อย่าง ท้องเสีย ปวดท้อง หรือนอนไม่หลับ เราควรหมั่นสังเกตอาการของตัวเองให้ชัด เพราะอาจมีสาเหตุมาจากยาชนิดอื่น หรือภาวะของโรคอื่นที่เป็นอยู่เกิดร่วมด้วยกันเป็นได้ แต่ถ้าการรับประทานยาก่อนหน้านี้ไม่มีปัญหา เพิ่งจะมาแสดงอาการหลายหลังจากที่รับประทานขมิ้นชันเข้าไปแล้ว ก็ให้สงสัยเอาไว้ก่อนว่าน่าจะเป็นผลข้างเขียงของขมิ้น โดยที่ยังสามารถรับประทานซ้ำได้ แล้วค่อยๆ ปรับขนาดยาจาก 1 เม็ด เป็น 2 เม็ดต่อครั้ง แล้วให้ดื่มน้ำตามมากๆ อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็อาจกลับมาเป็นปกติ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sanook.com/health/8537/

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : กรดไหลย้อน